เที่ยวไหว้พระในกรุงเทพ วัดไหนดี เป็นคำถามวนๆ อยู่ในหัวกันมาทุกปี โดยเมื่อเข้าสู่ปีใหม่ พ.ศ.2566 นี้ เราจึงต้องมาหาข้อมูลกันอีกทีว่าจะไป ไหว้พระในปีใหม่ พ.ศ. 2566 ขอพรที่วัดในกรุงเทพฯ วัดไหนที่ไหนได้บ้าง
ในปีใหม่ พ.ศ. 2566 นี้ ซึ่งเป็นปีนักษัตรปีเถาะ หรือว่าปีกระต่าย ที่ยังต้องตามลุ้นต่อว่าจะเป็นปีเถาะทองกันหรือไม่ เพราะว่ามีเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมาย จะส่งผลต่อถึงปลายปี 2566 วันนี้จึงขอชวนเพื่อน ๆ ไปเข้าวัดทำบุญ ขอพรพระที่วัดในกรุงเทพฯ ใกล้ ๆ เดินทางสะดวก เพื่อเป็นทางเลือกนอกเหนือจากไปแก้ปีชง ถึงแม้ไม่ใช่สายมู สายบุญ เพื่อน ๆ ก็สามารถไปเที่ยววัดในช่วงนี้กันได้ เพราะนอกจากจะได้ทำบุญแล้ว เสริมพลังใจแล้ว ยังได้รูปสวยๆ เอาไว้แชร์ลงโซเชียล และเช็กอินอีกด้วย เรามาดูสรุปชื่อวัดที่ไปไหว้ขอพรในปี พ.ศ.2566 กันก่อนเลยครับ
แนะนำวัด เที่ยวไหว้พระในกรุงเทพ วัดไหนดี วันนี้ เดินทางในกรุงเทพ เรามีจำนวน 5 วัดดังนี้
1.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่เราเรียกกันโดยทั่วไปว่าวัดพระแก้ว และเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของคนไทย เป็นศูนย์กลางของความศรัทธาของชาวไทยชาวลาวและชาวจีน และรวมถึงเป็นสถานที่สำคัญที่มีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวกรุงเทพมหานคร ต้องเข้าไปชมความสวยงามที่วิจิตรบรรจง ที่เปี่ยมด้วยศรัทธา ที่นี่
วัดพระแก้ว ได้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสนามหลวง เพื่อนเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสนตอนต้น ที่ทำจากหยกสีเขียวเข้มทึบแสง ที่นั่งปางสมาธิ
การเดินทางไปกราบไหว้ ขอพรจากองค์พระแก้วมรกต มีความเชื่อว่า เมื่อไหว้พระแก้วมรกตแล้ว แก้วแหวน เงินทอง ก็จะไหลมาเทมาตลอดปี และที่สำคัญนั้น ถ้าหากมีการเปิดปราสาทพระเทพบิดร ที่เป็นปราสาทจตุรมุขที่ประดับกระเบื้องเคลือบองค์เดียวที่ในประเทศไทย โดยภายในก็มีพระบรมรูปหล่อของพระมหากษัตริย์ทั้ง 9 พระองค์ เพื่อให้เข้ากราบไหว้ด้วยแล้ว ก็จะยิ่งทำให้เป็นสิริมงคลสำหรับชีวิตมากขึ้นอีกด้วย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเริ่มต้นในสิ่งดีๆ สำหรับชีวิตในช่วงปี พ.ศ. 2566 นี้
2. วัดสุทัศนเทพวราราม
วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นพระอารามหลวง ของประจำรัชกาลที่ 8 โดยได้เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดนี้ขึ้น โดยพระราชทานนามว่าวัดมหาสุทธาวาส โดยมีการสร้างพระวิหารขึ้นมาก่อน เพื่อที่จะได้ประดิษฐานองค์พระศรีศากยมุนี (พระโต) ซึ่งได้อัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ ที่จังหวัดสุโขทัย แต่ว่าสิ้นรัชกาลเสียก่อน จึงมีการเรียกกันว่าวัดพระโต วัดพระใหญ่ หรือว่าวัดเสาชิงช้า
ต่อมาในรัชสมัยของรัชกาลที่ 2 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการสร้างต่อและทรงจำหลักที่บานประตูพระวิหารด้วยตัวพระองค์เอง แต่ว่าก็สิ้นรัชกาลก่อน และได้มาเสร็จสมบูรณ์ได้ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 และได้พระราชทานนามว่าวัดสุทัศนเทพวราราม
สำหรับภายในวัด ได้โดดเด่นไปด้วยพระอุโบสถ ที่มีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย การไปไหว้พระศรีศากยมุนี เพื่อจะเสริมสิริมงคล โดยมีความเชื่อว่าไหว้พระวัดสุทัศนฯ จะมีวิสัยทัศน์กว้างไกล และมีเสน่ห์แก่บุคคลโดยทั่วไป ส่วนใครที่อยู่ในวัยเรียน ก็ต้องไม่ลืมไปกราบไหว้พระสุนทรีวาณี เป็นเทพธิดาแห่งปัญญา มีเชื่อว่าจะช่วยให้เกิดปัญญา และมีสติปัญญาดีด้วย
3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
เป็นอีกจุดหมายหนึ่ง ที่นิยมไปกราบไหว้พระขอพรคือ ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือเรียกว่าวัดโพธิ์ ที่อยู่ใกล้กันหรือว่าแทบจะติดกันกับวัดพระแก้ว โดยที่มีเพียงถนนสายเล็กกั้นกลางเท่านั้น
ที่วัดโพธิ์นี้ ได้วัดประจำรัชกาลที่ 1 มีจุดเด่นคือ เป็นวัดมีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย และเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้ขึ้นทะเบียนจากทางยูเนสโก ให้เป็นมรดกทางความทรงจำโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย
และนอกจากนี้ที่วัดโพธิ์ก็ยังมีเอกลักษณ์มากมีรูปปั้นฤๅษีดัดตน ที่อยู่ในท่าอิริยาบถแบบต่างๆ จำนวนทั้งหมด 24 ท่า โดยการที่เข้าไปไหว้วัดโพธิ์ ยังมีความเชื่อในเรื่อง ขอพรเพื่อ ให้มีชีวิตที่มีความร่มเย็นเหมือนอยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทร และยังมีความเชื่อในเรื่องการขอพรเรื่องความรัก จากพระนอนหรือว่าพระพุทธไสยาสน์ที่ประดิษฐาน ในวิหารพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่องค์ใหญ่ ความยาว 46 เมตร สีเหลืองทองทั้งองค์ ที่พระบาทซ้ายและขวาที่ซ้อนเสมอกัน บริเวณใต้พระบาทประดับด้วยมุกภาพมงคล 108
4. วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
ที่วัดในโซนฝั่งธนบุรี สำหรับใครอยากไหว้พระขอพร ขอให้มีชื่อเสียงโด่งดัง ต้องห้ามพลาดไปต่อกันที่วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารนี้ หรือว่าวัดระฆัง เป็นวัดโบราณที่ได้สร้างมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดบางว้าใหญ่ สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกเป็นพระอารามหลวง และยังเป็นที่ประทับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
ที่ภายในวัดระฆังยังมีสิ่งที่น่าสนใจ อาทิเช่น หอพระไตรปิฎก, พระวิหาร, พระปรางค์ และหอระฆัง และพระประธานในพระอุโบสถ ก็คือ หลวงพ่อยิ้มรับฟ้า ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ มีเนื้อทองสำริด ที่มีหน้าพระพักตร์มีพระสาวก 3 องค์ ประนมมือรับโอวาท โดยที่พระประธานองค์นี้ได้รับการยกย่องว่างดงามอย่างมาก
เมื่อครั้งเมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จฯ มาถวายผ้าพระกฐิน ที่วัดระฆังนี้ ได้มีพระราชดำรัส ว่าไปวัดไหน ไม่เหมือนมาที่วัดระฆัง พอเข้ามาประตูโบสถ์ พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที จนทำให้พระองค์ได้ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์ และมหาปรมาภรณ์ช้างเผือกให้แด่พระประธานองค์นี้ด้วย เป็นที่มาของนามว่า พระประธานยิ้มรับฟ้า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามา การไปไหว้พระวัดระฆัง ท่านจะต้องตีระฆังปิดท้าย เพื่อจะได้มีชื่อเสียงโด่งดังที่ก้องกังวานดุจดั่งระฆัง ดังมีความเชื่อที่ว่า ถ้าไหว้พระวัดระฆัง แล้วท่านจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปตลอดปี
5. วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร
ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่บริเวณท่าเตียน เดินทางมาที่วัดอรุณราชวราราม หรือเรียกว่าวัดอรุณฯ หรืออีกชื่อวัดแจ้ง ซึ่งเป็นวัดโบราณที่มีการสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่เดิมเรียกว่า วัดมะกอกนอก
โดยจุดเด่นวัดอรุณฯ ถือเป็นแลนด์มาร์กหนึ่งของประเทศไทยเลยคือ พระปรางค์ ที่มีการประดับตกแต่งไปด้วยกระเบื้องได้อย่างประณีต และยังได้มีประติมากรรมยักษ์ทศกัณฐ์ สีเขียว และยักษ์สหัสเดชะ สีขาว ยืนเฝ้าประตูอยู่ทางเข้าพระอุโบสถ โดยที่มีพระพุทธธรรมมิศราชโลกธาตุดิลก พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่มีศิลปะรัตนโกสินทร์
และนอกจากนี้ที่บริเวณวัดก็ยังมีศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ศาลาท่าน้ำรูปเก๋งจีน พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่มีความเชื่อว่าหากไหว้พระปรางค์วัดอรุณฯ ก็จะทำให้ชีวิตรุ่งโรจน์ด้วยนั่นเอง
เพื่อน ๆ ที่ยังไม่ได้เดินทางไปที่ไหน หรือยังไม่รู้ว่า เที่ยวไหว้พระในกรุงเทพ วัดไหนดี ลองมาไหว้พระขอพร ที่วัดตามที่ได้กล่าวมาได้ เพราะความหมายดี และเพื่อความเป็นสิริมงคลกันตั้งแต่ต้นปีกันก่อน เผื่อว่า ปีนี้ จะได้เฮง ๆ ปัง ๆ มีโชคมีลาภไปตลอดปีนะครับ